พวกเราเป็นกลุ่มแรกที่พบน้อง คือ ครูเจษ ครูกลอย ครูป้อม เราเตรียมประชุมกันก่อนพบน้องเกือบสัปดาห์(AAR) ร่วมกันวางแผนกับคุณครูกลุ่ม
2 ทุกคน ว่าเรากลุ่มย่อยนี้จะจัดกิจกรรมอะไรกับน้องบ้าง กิจกรรมที่พูดคุยกันไว้ก่อนหน้านี้
ก็คือ..
-
ชวนน้องทบทวนกิจกรรมจิตศึกษา
-
คุยเกี่ยวกับคำถาม ทำไม? (ทำไมของโรงเรียน , ทำไม
ให้น้องตั้งทำไมเอง 5 ข้อ ที่ยังไม่มีในทำไมของโรงเรียน)
กลุ่มพวกเรานัดพบน้องในวันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม 2557
ณ ห้องประชุมเล็ก
ทุกคนมาพร้อมเพรียงก่อนเวลานัดหมายกว่า 5 นาที วันนี้จากที่ผมสังเกตดูท่าทีของน้องหลายคนดูกระปี้กระเปร่าอยากมาเข้าร่วมทำกิจกรรมในครั้งนี้
เห็นน้องๆ ตั้งใจอยากเข้ามาร่วมทำกิจกรรมด้วยความยินดี มันทำให้ผมรู้สึกอิ่มเอมสุขใจอย่างบอกไม่ถูก
กระแสความคิดซื่อๆ ไร้เพทุบายดังกล่าวสะเทือนใจอย่างลึกซึ้ง จนต้องเกร็งเบ้าตากักกั้นหยาดน้ำ
แล้วเตรียมทำกิจกรรมอันมีคุณค่ากับน้องวันนี้ เพื่อให้กิจกกรมออกมาดีที่สุด
ด้วยบรรยากาศที่ทุกคนรื่นรมย์
เมื่อได้เวลาตามนัดหมาย
16.30 น. ทุกคนนั่งวงกลมใหญ่ยิ้มไหว้ทักทายกัน
ครูกลอยกับครูป้อมเริ่มด้วยกิจกรรมจิตศึกษากับน้องก่อน
ส่วนคุณครูเจษติดภารกิจไปส่งครูใหญ่ที่สนามบินอำเภอสตึก
ครูกลอยเตรียมอุปกรณ์ทำกิจกรรมจิตศึกษามาด้วยคือเม็ดกระดุม 1 กล่อง แล้วครูกลอยมอบหมายให้ครูอุ๋มเป็นดำเนินกิจกรรมจิตศึกษาจากอุปกรณ์ที่มีอยู่นี้
ครูอุ๋มพาทุกคนทำกิจกรรม
’เม็ดกระดุม
เชื่อมโยงกับตัวเราอย่างไร?’
เริ่มกิจกรรมด้วยการหยิบเม็ดกระดุมจากกล้องออกหลากหลายสีดูสะดุดตา
ครูอุ๋มถามทุกคนในวงว่า “ทุกคนเห็นอะไรจากที่ครูอุ๋มถืออยู่ตอนนี้ค่ะ?”
ครูอุ๋มมองดูคนที่ยกมือก่อน แล้วเชิญทีละคนแสดงความคิดเห็น
กิจกรรมจิตศึกษาจากเม็ดกระดุมหลากสี
ครูอุ๋มส่งกล่องกระดุมให้ครูทุกคนหยิบเม็ดกระดุมวางตรงหน้าจนครบ ครูอุ๋มให้จึงโจทย์ทุกคนว่า
“ให้ทุกคนแปลงร่างเม็ดกระดุมตรงหน้าให้เป็นภาพขึ้นมา
แล้วบอกครูอุ๋มด้วยว่าภาพนั้นเกี่ยวกับตัวเราอย่างไรบ้าง?” ทุกคนในวงได้เล่าภาพที่สร้างจากเม็ดกระดุมจากคนแรกจนถึงคนสุดท้าย
ครูอุ๋มจะค่อยฟังด้วยความตั้งใจ ‘ขอบคุณ’ คนที่เล่าเสร็จทีละคน แล้วเชิญคนต่อไปเล่าจนครบ
พอกิจกรรมจิตศึกษาเสร็จ
ครูกลอยให้ทุกคนได้แชร์เกี่ยวกับกิจกรรมเม็ดกระดุม “ถ้าเราจะนำอุปกรณ์นี้ไปใช้สอนเด็กๆ
เราจะนำไปเป็นสื่อการสอนอย่างไรบ้าง?”
แต่ละคนได้เสนอความคิดเห็นว่าจะนำสื่อนี้ไปใช้ทำกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิเช่น
จิตศึกษา(นิทาน , งานศิลปะ), ภาษาไทย, อังกฤษ, คณิต(การนับ, แบบรูป) รวมทั้งยังได้ชวนทุกคนตั้งคำถามจากเม็ดกระดุม
จากนั้นพวกเราพาน้องครูใหม่ทบทวนการบ้าน 2 กิจกรรม คือ “จิตศึกษา” และ “ทำไม?”
(ทำไมของโรงเรียน , ทำไม ให้น้องตั้งทำไมเอง 5 ข้อ
ที่ยังไม่มีในทำไมของโรงเรียน)
ให้น้องๆ แต่ละคนแชร์เป้าหมายของกิจกรรมจิตศึกษา ที่น้องๆ
ตอบมาโดยภาพรวม
-
เพื่อเตรียมความพร้อมผู้เรียน
-
เพื่อให้นักเรียนเข้าใจสรรพสิ่ง
-
เพื่อพัฒนาความฉลาดทางด้านอารมณ์EQ ด้านจิตวิญญาณSQ
จากนั้น..น้องๆ
แชร์ถึงกิจกรรมที่ทำจิตศึกษามาแล้วเกิดผลอย่างไร ครูนิ่ม ป.4 เล่าถึงพี่บูมว่ากิจกรรมจิตศึกษาทำให้พี่บูมเข้าชั้นเรียน
กล้าพูดกับครูมากขึ้น และทำให้เขาผ่อนคลายเตรียมพร้อมที่จะเรียนมากขึ้น ครูอุ๋ม ป.1
แชร์กิจกรรมจิตศึกษาทำให้พี่เฆษเปลี่ยนแปลงทางด้านการรับรู้อารมณ์
และการเตรียมความพร้อมในการเรียนในทุกๆ วัน
ทำให้เขาเข้าห้องเรียนอย่างมีความสุขตลอดมาทุกๆ วัน
ครูกลอยชวนน้องๆ
คุยเรื่องสิ่งที่ควรลดและควรสร้าง ตามแนวทางของโรงเรียนฯ
ในการจัดการเรียนรู้ทุกกิจกรรม โดยภาพรวมน้องๆ แชร์ความเข้าใจและพี่ๆ
ช่วยเพิ่มเติมกันทั้ง 2 ประเด็น ดังนี้
สิ่งที่ครูควรลด (การเปรียบเทียบ,
คำพูดด้านลบหยุด อย่า ห้าม, สร้างความกลัว ,ใช้ความรุนแรง ,ยัดเยียดความรู้)
สิ่งที่ครูควรสร้าง (ให้ความรักกับเด็กๆ,
บรรยากาศการเรียนรู้, คำพูดด้านบวก)
พวกเราให้น้องเล่าถ่ายทอดความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนทัศน์จิตศึกษา(จิตวิทยาเชิงบวก
วิถี/ชุมชม กิจกรรมจิตศึกษา)ที่แต่ละคนเข้าใจ หลังจากที่น้องๆได้อ่านเอกสารที่ให้เป็นการบ้านคร่าวก่อน
น้องทุกคนได้ถ่ายทอดความเข้าใจของตนเอง และทุกคนมีส่วนร่วม
เพิ่มเติมความเข้าใจร่วมกัน และชวนน้องๆ คุยเกี่ยวกับปัญญาภายในและปัญญาภายนอก
ครูกลอยสอบถามน้องๆ เกี่ยวกับวิถี/ชุมชม
แล้วให้แต่ละคนแชร์ความเข้าใจของตนเองสู่ผู้อื่น
ก่อนที่ทุกคนช่วยกันมาขมวดความเข้าใจ(ครูกลอย ครูเจษ ครูป้อม ครูน้ำผึ้ง
และครูสังข์) เรายกตัวอย่างผ่านรูปแบบตารางเรียนที่แบ่งออกเป็นช่วงของ : ปัญญาภายใน (EQ, SQ), ปัญญาภายนอก (PQ, IQ)
ปัญญาภายนอก VS ปัญญาภายใน
ครูวิเชียรมองว่า
กะลาใบใหญ่ที่ครอบระบบการศึกษาไทยอยู่คือการยึดติดใน “ความรู้” ซึ่งเป็นแค่เพียงส่วนเปลือกของการศึกษา
แท้ที่จริงแล้วคุณค่าของการศึกษาอยู่ที่การก่อให้เกิดความเจริญงอกงามทางปัญญา
อันประกอบด้วยปัญญาภายนอก ซึ่งหมายถึงความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งที่อยู่รอบตัว
และอีกส่วนหนึ่งคือปัญญาภายใน ซึ่งหมายถึงความเข้าใจตนเองและธรรมชาติของชีวิต
ดังนั้นเป้าหมายที่ชัดเจนของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
คำนึงถึงการก่อเกิดปัญญาทั้งสองส่วน
นับตั้งแต่การเปิดสอนปีแรก
โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาได้ทดลองใช้เครื่องมือสำหรับบ่มเพาะปัญญาภายนอกหลายหลายวิถีทาง
เช่น การบูรณาการโดยใช้ Story Line ซึ่งช่วยให้เด็กเรียนรู้อย่างสนุกสานเพลิดเพลิน
แต่กลับไม่ได้นำพาไปสู่แก่นแท้ของความรู้ได้จริง ต่อมาก็บูรณาการโดยProject Based Learning ซึ่งเอื้อให้เด็กได้สร้างความรู้ด้วยตนเอง แต่ยังไม่ได้ให้อิสระเด็กเลือกเรียนในสิ่งที่อยากเรียนรู้
จนในที่สุดก็พบว่าแนวทางการสอนที่เหมาะสมคือการบูรณาการโดย Problem-Based
Learning ซึ่งเติมเต็มเรื่องการเรียนรู้อย่างสอดคล้องกับความสนใจของผู้เรียน
ไปพร้อมกับการลงมือปฏิบัติจนเกิดทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตจริงๆ
“การนำปัญหามาเป็นสิ่งกระตุ้นในการเรียนรู้ เป็นการสร้างความเสียสมดุลในตัวเด็ก
แล้วเด็กจะหาทางที่จะรักษาความสมดุลนั้น ด้วยกระบวนการที่ต้องเรียนรู้ร่วมกัน
เอาทักษะและความรู้มารวมกัน เพื่อสร้างนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหา
พอเขาได้แก้ปัญหาบ่อยๆ ก็จะเพิ่มทักษะ เพิ่มความเข้าใจ
ทำให้มีกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันที่แข็งแกร่ง”
การเรียนรู้อย่างอิสระเริ่มต้นด้วยการให้นักเรียนได้เลือกในสิ่งที่ตนสนใจ
และคิดว่าเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตนเอง
รวมทั้งได้การออกแบบการเรียนรู้ว่าตนอยากจะสร้างนวัตกรรมอะไร
โดยมีครูเป็นผู้มีบทบาทช่วยสนับสนุนให้เด็กได้แก้ปัญหาเหล่านั้น
และวิเคราะห์ความเชื่อมโยงกับมาตรฐานและตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ
ส่วนปัญญาภายในซึ่งไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยการพร่ำสอนของครู
ครูวิเชียรได้นำกระบวนการ “จิตศึกษา” มาใช้เป็นเครื่องมือในการบ่มเพาะ
หลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดก็คือ การเคารพคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมซึ่งเป็นจิตวิทยาเชิงบวก
การจัดกิจกรรมตามแนวคิดนี้จะมุ่งเน้นให้เด็กมีความรักที่เผื่อแผ่
เห็นความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสิ่งอื่น และมีสติรู้สึกตัวได้เร็ว
สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญงอกงามภายใน จะต้องมีลักษณะเป็นองค์กรแบบเปิด
ที่ทุกคนเรียนรู้ร่วมกัน มีอุดมการณ์ร่วมกัน เคารพกัน และมีความเป็นกัลยาณมิตร
ครูวิเชียรกล่าวถึงความสำคัญของปัญญาภายในว่า “การจะอยู่บนโลกนี้ได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมข้างนอก
แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่อยู่ข้างใน หากเราสามารถสร้างปัญญาภายในให้เข้มแข็งพอ
เด็กจะมีวุฒิภาวะและภูมิคุ้มกันชีวิต
ไม่ว่าจะมีแรงกระแทกจากภายนอกแค่ไหนเขาก็จะผ่านมันไปได้”
บางส่วนจาก..บทสัมภาษณ์ครูใหญ่วิเชียร ไชยบังลงในหนังสือ
“รวมมิตรคิดเรื่องการเรียนรู้ประสบการณ์ภาคปฏิบัติของมวลมิตรยุคอนาล็อคและคนรุ่นดิจิทัล”
โดย
สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ Thailand
Knowledge Park (TK park)
น้องๆ ทุกช่วงชั้นได้ทบทวนวิถี/สร้างชุมชนการเรียนรู้
ครูเจษให้ตัวแทนน้องแต่ละช่วงชั้นเล่าวิถีให้ทุกคนรอบวงรับฟังร่วมกัน
วิถีมัธยม(ครูจุล), วิถีประถม(ครูหนัน, ครูอุ๋ม), วิถีอนุบาล(ครูแอมป์)
ส่วนใหญ่น้องๆ เข้าใจวิถีภาพร่วม ครูป้อมเพิ่มเติมวิถีของพี่มัธยม
ตอนเช้านักเรียนทุกระดับชั้นจะดูแลบริเวณสถานที่โดยรอบมัธยมเองเช้า-เย็น
ในส่วนของเวลาเรียนแต่ละคาบจะน้อยกว่าน้องประถมคาบละ 10 นาที
ช่วงเช้าเรียน 4 คาบ ต่างจากประถมเรียน 3 คาบ
ตอนเที่ยงพี่มัธยมจะแบ่งเวรเพื่อจะไปรับอาหารที่โรงอาหารมาบริการกันเอง
และจะมีพิธีชาทุกๆ สัปดาห์
กิจกรรมสุดท้าย..
น้องๆ ส่งการบ้านตั้งคำถาม ‘ทำไม?’ เราให้น้องๆ แต่ละช่วงชั้นคุยกัน แล้วเลือกมาเพียงช่วงชั้นละ 1 คำถาม นำมาแชร์กัน ถามเสร็จให้น้องๆ ได้ลองตอบคำถาม แล้วพี่ๆ
ช่วยขมวดคำตอบตอนท้ายให้ทุกข้อ
อนุบาล “ทำไมโรงเรียนนอกกะลาจึงเลือกที่จะมาตั้งอยู่ตรงนี้?”
ครูดอกไม้ ครูบาส
ครูจุล แชร์ความคิดเห็นว่า “อาจจะอยู่ในชนบท ไม่อยากตั้งใกล้ตัวเมือง
ที่บุรีรัมย์ตอนนั้นยากจน และที อ.ลำปลายมาศ ขาดสารไอโอดีน บรรยากาศร่มรื่น”
ครูน้ำผึ้ง ครูเจษ
ครูป้อม ช่วยขมวด.. “เมื่อประมาณ 13 ปีก่อนนั้น
คุณเจมส์มีแนวคิดอยากสร้างโรงเรียนตัวอย่างขึ้น และได้เลือกจังหวัดบุรีรัมย์
เพราะตอนนั้นค่าเฉลี่ยรายได้ต่อครัวเรือนน้อยสุดในภาคอีสาน
และก็เลือกอำเภอลำปลายมาศ ตำบลโคกกลาง เพราะเป็นอำเภอที่ประชากรขาดสารไอโอดีน (ส่งผลเกี่ยวกับสมองขาดสารบางตัว
ส่งผลต่อการเรียนรู้) และที่สำคัญคุณเจมส์ต้องการสร้างโรงเรียนฯ
ตัวอย่างที่อยู่ชนบท ทุกคนมีสิทธิ์เรียน เพราะจับฉลากเข้าเรียนทุกคน
ต้องการคละประชากร และค่าใช้จ่ายในการเรียนของนักเรียนก็น้อยกว่ารัฐบาล..”
ช่วงชั้น1 “ทำไมที่โรงเรียนจึงไม่มีห้องพยาบาล?”
ช่วงชั้น2 “ทำไมพี่ ม.3 ยืนตรงหลังน้อง
ป.6 เข้าแถวตอนเช้า?”
มัธยม “ทำไมต้องติดชิ้นงานนักเรียนทั้งในห้องเรียน
และบริเวณโดยทั่วของโรงเรียน?”
ในส่วนคำถามของ ช.1-2 กับคำถามของมัธยม
ทุกคนในวงก็ช่วยกันตอบ มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น พี่ๆ
ก็ได้เรียนรู้น้องด้วยการตั้งคำถาม และเรียนรู้การตอบของแต่ละคน น้องๆ
ก็ได้ความรู้เพิ่มจากที่พี่ๆ ช่วยกันขมวดคำตอบให้ชัดเจนมากขึ้น
น้องทุกคนส่งสมุดบันทึกเล่มเล็กที่ทำการบ้านเขียนคำถาม
‘ทำไม?’ มาคนละ 5 ข้อ
ขอบคุณข้อมูลจากคุณครูเจษมากครับ.
เพิ่มเติม 'ปัญญา'....บางส่วนจากหนังสื่อ 'วุฒิภาวะของความเป็นครู'
ความเข้าใจตัวเอง ความเข้าใจต่อชีวิต หรือ ปัญญาภายใน ที่เราทั้งหมดพยายามโหยหาทั้ งเป็นเครื่องค้ำชูชีวิตกลั บกลายเป็นสิ่งขาดแคลนเหลือเกิ นในภาวะปัจจุบัน ครูผู้มีวุฒิภาวะจะให้การเรี ยนรู้เพื่อบ่มเพาะปัญญาภายในให้ กับเด็กๆ ตั้งแต่ต้นซึ่งอาจจะช่วยให้เด็ กๆ ได้พบคำตอบของคำถามเหล่านั้นได้ เร็วขึ้น แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะ ในหลักสูตรแกนของแต่ละประเทศที่ มี 8-9 วิชานั้นมุ่งสร้าง แต่ปัญญาภายนอกหรือความรู้ ความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ เท่านั้น
ปัญญาภายใน หมายรวมถึง ความฉลาดทางจิตวิญญาณ (SQ) และ ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ซึ่งได้แก่
การรับรู้อารมณ์และความรู้สึ กของตนเอง (รู้ตัว) การรับรู้อารมณ์และความรู้สึกต่ อผู้อื่น
การเห็นคุณค่าในตัวเอง คนอื่น และสิ่งต่างๆ เพื่อการดำเนินชีวิตอย่างมีเป้ าหมายและมีความหมาย
การอยู่ด้วยกันอย่างภราดรภาพ ยอมรับในความแตกต่าง เคารพและให้เกียรติกัน
การมีวินัย มีความรับผิดชอบทั้งต่ อตนเองและส่วนรวมอยู่อย่างพอดี และพอใจได้ง่าย
การมีสติอยู่เสมอ รู้เท่าทันอารมณ์เพื่อให้รู้ว่ าต้องหยุด หรือไปต่อกับสิ่งที่กำลังเป็ นอยู่มีความสามารถจัดการอารมณ์ ตนเองได้
การมีสัมมาสมาธิ เพื่อกำกับความเพียรให้การเรี ยนรู้หรือการทำภาระงานให้ลุล่วง มีความอดทนทั้งด้านร่างกายและจิ ตใจ
การเห็นความสัมพันธ์เชื่ อมโยงระหว่างตนเองกับสิ่งต่างๆ นอบน้อมต่อสรรพสิ่งที่เกื้อกู ลกันอยู่
การมีจิตใหญ่มีความรั กความเมตตามหาศาล
ปัญญาภายนอก เป็นการเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ เพื่อให้เข้าใจต่ อโลกและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งประกอบด้วยความรู้ มากมายหลายแขนงที่จะใช้ ในการดำเนินชีวิตหรือการประกอบ อาชีพ ซึ่งมักมองในมุมของความรู้ว่ามี มากน้อยเพียงใด แต่การมองเฉพาะด้านความรู้อย่ างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ความรู้เป็นสิ่งที่เปลี่ ยนแปลงได้ ขยายขอบเขตได้ ความฉลาดทางด้านนี้ต้องไปไกลกว่ าความรู้คือ ไปถึงความเข้าใจ เพราะเมื่อไปถึงความเข้าใจแล้ วเราก็จะเห็นถึงความเชื่ อมโยงของสิ่งต่างที่ โยงใยกันอยู่ โดยที่เมื่อกระทำกับสิ่งหนึ่งก็ สะเทือนถึงอีกสิ่งหนึ่ง แล้วตอนนั้นเราจะมองเห็นคุณค่ าของสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ในที่สุดก็จะเกิดความยินดี และความพอใจกับความเป็นไปซึ่ งจะทำให้เป็นผู้ที่มี ความสุขได้ง่าย
นอกจากความเข้าใจต่ อโลกและปรากฏการณ์แล้ว ปัญญาภายนอก ยังรวมถึงการได้เครื่องมือทั้ งที่เป็นทักษะชีวิตและทั กษะสำหรับอนาคต เช่น ทักษะการเรียนรู้ ทักษะการคิดหลายๆ ระดับ ทักษะทาง ICT ทักษะการจัดการ ทักษะการสื่อสาร และ ทักษะการเป็นผู้ผลิตปัจจั ยในการดำรงชีวิต เป็นต้น